บทความ

ความมหัศจรรย์ของอัลกุรอ่าน 


       อัลกุรอ่าน คือคัมภีร์แห่งทางนำ และเป็นสิ่งมหัศจรรย์ ที่พระผู้เป็นเจ้าได้ประทานมาให้แก่ประชาชาติสุดท้ายนี้โดยผ่านท่านนบีมูฮัมหมัด เป็นคัมภีร์มหัศจรรย์ที่ท้าทายต่อมนุษยชาติ


       เมื่อแต่ละยุคแต่ละสมัย ผู้คนมีความเชี่ยวชาญในเรื่องที่แตกต่างกันไป ในยุคของท่านศาสดามูซา(โมเสส) มีความรู้และสิ่งที่ผู้คนมีความชำนาญและชอบมากที่สุด คือ ไสยศาสตร์ การแสดงมายากล ด้วยเหตุนี้ พระองค์อัลลอฮ์จึงให้ปาฏิหาริย์ของศาสดามีความคล้ายเหมือนกับสิ่งที่ผู้คนชอบในยุคนั้น และให้มีความเหนือกว่า พระองค์ได้ประทานแก่นบีมูซาซึ่งไม้เท้าอันวิเศษ เมื่อโยนลงไปจะกลายเป็นงูยักษ์ และให้มีแสงออกมาจากมือที่คนธรรมดาไม่สามารถทำได้  


       ความรู้และศิลปะที่โด่งดังที่สุดในยุคของศาสดาอีซา(เยซู) คือ ความรู้ทางการแพทย์ การรักษาโรคร้ายให้หายเป็นปกติ พระองค์ได้ให้ท่านศาสดาสามารถรักษาคนตาบอดแต่กำเนิด, คนเป็นโรคเรื้อนให้หายปกติ และให้ผู้ที่ตายแล้วมีชีวิตขึ้นอีกครั้งด้วยอนุมัติของอัลลอฮ์ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความไร้สามารถอย่างชัดเจนของพวกเขา และรับรู้ถึงปาฏิหาริย์เหล่านั้นซึ่งมนุษย์ทั่วไปมิอาจกระทำได้


      ส่วนความรู้และศิลปะที่โด่งดังในสมัยของท่านนบีมูฮัมหมัด (ขออัลลอฮ์ทรงอำนวยพรและความศานติสุขแก่ท่าน) คือ การใช้คำพูดที่เต็มไปด้วยวาทะศิลป์ของภาษาอาหรับ โวหารอันไพเราะ เสนาะจับใจ ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงได้ประทานอัลกุรอ่านลงมา อันเป็นสำนวนโวหารที่สวยงามและมีความไพเราะที่สุด เพื่อยืนยันถึงความสูงส่งและการเป็นปาฏิหาริย์ของตนเองได้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังเป็นคัมภีร์แห่งทางนำและความรู้ในเวลาเดียวกัน


พระองค์ยังได้ท้าทายให้มนุษย์ รวมไปถึงพวกญิน(สิ่งมีชีวิตที่เร้นลับ)ทั้งหมดนำมาซึ่งคัมภีร์ที่มหัศจรรย์เหมือนอัลกุรอ่านนี้ 


قُل لَّئِنِ اجْتَمَعَتِ الْإِنسُ وَالْجِنُّ عَلَىٰ أَن يَأْتُوا بِمِثْلِ هَٰذَا الْقُرْآنِ لَا يَأْتُونَ بِمِثْلِهِ وَلَوْ كَانَ بَعْضُهُمْ لِبَعْضٍ ظَهِيرًا ( 88 )


   ความว่า "จงกล่าวเถิด(มูฮัมหมัด) แน่นอนหากมนุษย์และญินรวมตัวกันที่จะนำมาเฉกเช่นอัลกุรอ่านนี้ พวกเขาไม่อาจจะนำมาเช่นนั้นได้ และแม้ว่าบางคนในหมู่พวกเขาเป็นผู้ช่วยเหลือแก่อีกบางคนก็ตาม" (อัลกุรอ่าน บท อัลอิสรออ์ 88 )


จนกระทั่งถึงปัจจุบัน การท้าทายนี้ได้ล่วงเลยมาหลายศตวรรษแล้ว ยังไม่มีผู้ใดสามารถนำมาซึ่งคัมภีร์ที่มีความมหัศจรรย์เหมือนอัลกุรอ่านได้เลย 


         นับตั้งแต่อิสลามได้ถูกเผยแผ่ต่อมนุษยชาติ อิสลามถูกตั้งข้อสงสัยจากบรรดานักบูรพาคดี, นักประวัติศาสตร์, และบรรดามนุษย์ที่ไม่เชื่อเรื่องการมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า ต่อคัมภีร์อัล  กุรอ่าน  ลักษณะดังกล่าวนี้มิได้เกิดขึ้นเพียงปัจจุบันกาล หากแต่ว่าในยุคสมัยที่อัลกุรอ่านถูกประทานลงมาจากอัลลอฮ์นั้น สังคมอาหรับก็เต็มไปด้วยบรรดาผู้ที่ตั้งแง่ คอยหาเรื่องจับผิด และปฏิเสธที่จะยอมรับความจริงเช่นกัน 


อัลกุรอ่านนั้นเป็นเพียงคัมภีร์เล่มเดียวที่มีความแตกต่าง เหนือข้อเขียนที่ออกมาจากมันสมองของมนุษย์ และด้วยความมหัศจรรย์นี้เองที่เป็นหลักฐานยืนยันว่าอัลกุรอ่าน คือคัมภีร์ที่เป็นคำตรัสของพระผู้เป็นเจ้า


อัลกุรอ่าน มิได้มาจากอารมณ์ความคิดของมนุษย์


     หากท่านผู้อ่านได้ลองพิจารณาถึง การประพันธ์หนังสือ หรือตำราสักเล่ม ก็จะพบว่า มันถูกเขียนขึ้นตามกฎของการประพันธ์ มีรูปแบบ (Platform) ที่สังคมคุ้นเคยและเป็นที่ยอมรับ จึงจะเรียกได้ว่าผู้แต่งตำราเล่มนั้น มีความรู้ความเข้าใจในแบบแผนของการประพันธ์  ทว่า อัลกุรอ่านนั้นไม่มีการอ้างอิงรูปแบบใดๆเลย ไม่ได้ถูกนำเสนอต่อผู้คนเป็นเล่มสมบูรณ์ในคราวเดียว แต่ถูกทยอยประกาศต่อผู้คน ณ ช่วงเวลานั้นในลักษณะที่ไม่เรียงลำดับเนื้อหา บางโองการถูกกล่าวเหตุการณ์ไว้ล่วงหน้า ก่อนที่มันจะเกิดขึ้นจริงในอนาคต เช่น เหตุการณ์เข้าพิชิตเมืองมักกะห์ ถูกเปิดเผยก่อนล่วงหน้า 1 ปี แล้วมันก็เกิดขึ้นจริง  และที่สำคัญคงไม่มีนักประพันธ์คนใด แต่งเรื่องราวเนื้อหาที่จะทำให้ตนเองนั้นถูกต่อต้านจากผู้คน และตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากของชีวิต 


      ในทางเดียวกันนั้นเอง หากท่านนบีมูฮัมหมัดต้องการเอาใจผู้คนในคาบสมุทรอาหรับ ให้มีความชื่นชม ยกย่องตัวเขาเอง ก็ย่อมจะแต่งตำราเอาใจพวกเขา เชิดชูวัฒนธรรม ประเพณีของผู้คนที่ปฏิบัติกันอยู่ในยุคนั้น แต่ถ้อยคำจากอัลกุรอ่านกลับมีคำสั่งสอน ข้อห้าม ที่บางอย่างจะมีความแตกต่างกับวิถีชีวิต ขนบธรรมเนียม ประเพณีนิยมของชาวอาหรับในสมัยนั้น 


      หรือท่านนบีมูฮัมหมัด ประพันธ์กฎหมายบ้านเมืองขึ้นมาเอง ? ต่อข้อสงสัยนี้ผู้คนรอบข้างต่างก็รู้ดีว่า นบีมูฮัมหมัดเป็นผู้ที่อ่านไม่ออก เขียนไม่เป็น ไม่มีทางที่ท่านศาสนทูตจะกำหนดตัวบทกฎหมาย ธรรมนูญสังคมขึ้นมาเอง แต่ทว่า อัลกุรอ่านนั้นกลับบรรจุไปด้วย บทบัญญัติทั้งด้านศีลธรรมและกฎเกณฑ์ทางสังคม และข้อสำคัญ จะเป็นไปได้หรือว่า บทบัญญัติ ธรรมนูญอันยิ่งใหญ่นี้ มาจากผู้ไม่รู้หนังสือ อ่านไม่ออก เขียนไม่เป็น 


     จากสิ่งที่ได้รับรู้และสัมผัสในอัลกุรอ่าน เป็นคำพูดที่ไม่ได้ออกมาจากความรู้สึกส่วนตัว หรืออารมณ์ของมนุษย์แต่อย่างใด หากใครคนหนึ่งได้เขียนหนังสือตลอดระยะเวลาในชีวิตของเขา จะต้องมีปรากฏในเรื่องของอารมณ์ออกมาบ้างในการเขียนหนังสือของเขา เช่นในช่วงที่ชีวิตของเขามีความโศกเศร้า หรือดีใจมีความสุข ความรู้สึกที่ได้รับความพ่ายแพ้ หรือความรู้สึกที่ได้รับชัยชนะ ความรู้สึกเมื่อภรรยาและลูกสุดที่รักได้เสียจากไป การแต่งงานของลูกๆ เล่าเรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่ได้สัมผัส แต่อัลกุรอ่านปราศจากสิ่งที่กล่าวมานี้ทั้งหมด อัลกุรอ่านไม่ได้ถูกเขียนขึ้นมาจากความคิดและอารมณ์ของผู้ใด


ดังกล่าวนี้ จึงเป็นหลักฐานยืนยันว่า อัลกุรอ่านเป็นถ้อยคำดำรัสของพระผู้เป็นเจ้า มิใช่คำกล่าวของมนุษย์


อัลกุรอ่านไม่เคยมีข้อผิดพลาด 


      ความผิดพลาดใดๆในโลกใบนี้ ล้วนแล้วแต่เกิดจากน้ำมือของมนุษย์  โองการทั้งหลายของอัลกุรอ่านนั้นเป็นที่รับรู้กันดี และมีประจักษ์พยานมากมายตลอดช่วงระยะเวลา 23 ปี ของการถูกประทาน ยิ่งไปกว่านั้น ถ้อยคำต่างๆในอัลกุรอ่านดำรงอยู่เช่นนี้มาตลอด  นับแต่เริ่มแรกจวบจนปัจจุบัน หากแม้ว่ามีข้อบกพร่อง ผิดพลาดใดๆสักเพียงประโยคเดียว ย่อมจะมีผู้ทักท้วงไปเสียนานแล้ว การปราศจากข้อผิดพลาดเช่นนี้ ย่อมมิได้เกิดจากน้ำมือของมนุษย์ หากแต่เป็นดำรัสของพระผู้ทรงรอบรู้อย่างสมบูรณ์แบบ  อัลลอฮ์ได้ตรัสว่า


“พวกเขาไม่พิจารณาดูอัลกุรอ่านบ้างหรือ  และหากว่า อัลกุรอ่านมาจากผู้ที่ไม่ใช่อัลลอฮ์แล้ว แน่นอนพวกเขาก็จะพบว่าในนั้นมีความขัดแย้งกันอย่างมากมาย”


                                                             ( อัลกุรอ่าน บท อันนิซาอ์ 82) 


    หากจะสังเกตุจากหนังสือที่มนุษย์เขียนขึ้นมา แม้ว่าเขาจะเก่งมากสักเพียงใด แน่นอน ต้องมีความผิดพลาดปรากฎขึ้น มีการตรวจสอบเพื่อปรับปรุง แก้ไข ตกแต่ง และเพิ่มเติม บางครั้งเวลาได้ผ่านไปเป็นปีก็มีการปรับปรุงแก้ไขแล้วแก้ไขเล่า ฉบับแล้วฉบับเล่า เพื่อให้เกิดความสอดคล้องและเข้ากับยุคสมัย แต่อัลกุรอ่านปราศจากความผิดพลาด ไม่มีการแก้ไข และไม่มีข้อย้อนแย้งแต่อย่างใด และสิ่งที่ยิ่งแปลกใจอีกนั้นก็คือ อัลกุรอ่านมาจากนบีผู้ที่อ่านไม่ออกเขียนไม่เป็น แต่มันกลับได้รวบรวมซึ่งความรู้อันมากมาย และด้วยกับสำนวนโวหารอันไพเราะ ความพิเศษที่ไม่เหมือนใครในศิลปะด้านภาษา ที่ทำให้บรรดานักภาษาอาหรับและนักกวีทั้งหมดต้องยอมแพ้


       พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวถึงประเด็นสำคัญเหล่านี้ว่า


 "และก่อนหน้านั้นเจ้ามิได้อ่านคัมภีร์ใดๆ และเจ้ามิได้เขียนมันด้วยมือขวาของเจ้า มิฉะนั้นแล้ว พวกที่กล่าวความเท็จย่อมจะสงสัยอย่างแน่นอน"  


                                                             (อัลกุรอ่าน บท อัลอังกะบูต 48)





ดั้งนั้น การมาของคัมภีร์อัลกุรอ่านด้วยความพิเศษต่าง ๆ ของบุคคลที่อ่านไม่ออกเขียนไม่เป็น แสดงให้เห็นถึงความมหัศจรรย์ของอัลกุรอ่าน เป็นพระดำรัสของพระเจ้าจริง อีกทั้งเป็นการยืนยันถึงการเป็นศาสดาหรือศาสนทูตของท่านนบีมูฮัมหมัด (ขออัลลอฮ์ทรงอำนวยพรและความศานติสุขแก่ท่าน)


อัลกุรอ่านคือแม่บทแห่งความรู้ทั้งหลาย


       อัลกุรอ่าน ได้รวบรวมฐานหลักอันเป็นแก่นแท้แห่งความต้องการของมนุษยชาติ และเป็นความต้องการของมนุษย์ทั้งโลกนี้และโลกหน้าเอาไว้ด้วยวิธีการที่เรียบง่าย ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในอดีต ในลักษณะที่ว่าประชาชนทุกหมู่เหล่าที่อาศัยอยู่ในสังคมต่างกัน สามารถเกิดความเข้าใจและใช้ประโยชน์จากอัลกุรอ่านได้


      อัลกุรอ่านได้กล่าวถึงศาสตร์ความรู้ในทุกๆด้าน เช่น แก่นแท้ของการศรัทธาที่ใสบริสุทธิ์ การปฏิบัติศาสนกิจ แม่บทด้านนิติศาสตร์ การเมือง การปกครอง กฎระเบียบในบ้านเมือง สิทธิส่วนบุคคล การตัดสินคดีความ การแบ่งมรดก หน้าที่รับผิดชอบในครอบครัว การอบรมดูแลลูก ธุรกรรมการเงิน การค้าขายที่ยุติธรรม  ความรู้ในด้านประวัติศาสตร์ โบราณคดี เรื่องราวของเผ่าพันธุ์ กลุ่มชน ศาสนทูตต่างๆในอดีต  ข้อเท็จจริงในเรื่องการแพทย์ เอ็มบริโอวิทยา(การเจริญเติบโตของทารก)  สุขภาพร่างกาย โภชนาการ ความลับในเรื่องจิตวิทยา จิตใจและคุณลักษณะของมนุษย์ ชีวะวิทยา ภูมิศาสตร์ มหาสมุทร บรรยากาศศาสตร์ แม่บทของวิทยาศาสตร์ทั้งมวล จนไปถึงเป็นแม่บทของจักรวาลวิทยา (การกำเนิดของจักรวาล) เรื่องราวที่เพิ่งถูกค้นพบในปัจจุบัน และจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งหลายเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นแล้ว


เช่น อัลกุรอ่านได้บอกถึงพวกโรมันจะได้รับชัยชนะต่อพวกเปอร์เซีย หลังจากที่พวกเขาได้พ่ายแพ้มาก่อนหน้า และเหตุการณ์ก็ได้เกิดขึ้นจริง ตามที่พระองค์ได้ตรัสไว้


" อะลิฟ ลาม มีม (1) พวกโรมันถูกพิชิตแล้ว (2) ในดินแดนที่ต่ำสุดนี้ แต่หลังจากการปราชัยของพวกเขาแล้ว พวกเขาจะได้รับชัยชนะ (3) ในเวลาไม่กี่ปีต่อมา คำบัญชานั้นเป็นสิทธิ์ของอัลลอฮ์ ทั้งก่อนหน้าและหลัง..." (อัลกุรอ่าน บท อัรรูม โองการที่ 1-4)  


และยังกล่าวถึงความเร้นลับอื่นๆ ที่มนุษย์คนใดก็ไม่สามารถล่วงรู้ได้  อัลลอฮ์ทรงกล่าวไว้ในอัลกุรอ่านว่า 


"เราจะให้พวกเขาได้เห็นสัญญาณทั้งหลายของเรา(ในชั้นฟ้า)อันไกลโพ้น และในตัว(ร่างกาย)ของพวกเขาเอง  จนกระทั่งจะเป็นการประจักษ์แก่พวกเขาว่า อัลกุรอ่านนั้นเป็นความจริง.." (อัลกุรอ่าน บท อัลฟุซซิลัต 53 ) 


        การที่จะรวมเอาแม่บทของศาสตร์ต่างๆ ไว้ในคัมภีร์ฉบับเดียวนั้น ผู้ที่นำมาประกาศเผยแพร่ ภายในระยะเวลา 23 ปี จะต้องมีความพิเศษเหนือกว่านักวิจัย หรือนักสำรวจใดๆ ที่ต้องใช้เวลามากมาย และเฝ้ารอเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าเพียงพอเพื่อค้นพบ ยิ่งไปกว่านั้นท่านนบี  มูฮัมมัด เป็นผู้ที่ไม่รู้หนังสือ เติบโตขึ้นมาท่ามกลางชนบททะเลทราย ที่มิใช่สังคมของปัญญาชน หรือศูนย์กลางอารยธรรมที่เจริญแล้วในสมัยนั้น นี่เองจึงเป็นการตอกย้ำอย่างชัดเจน ถึงความมหัศจรรย์ของอัลกุรอ่าน ว่ามาจากพระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงรอบรู้ทุกสรรพสิ่ง


อัลกุรอ่านคืออาหารแห่งจิตวิญญาณ 


      บ่อยครั้ง ผู้ที่มิใช่มุสลิม แต่เมื่อเขาได้สดับรับฟังโองการจากอัลกุรอ่าน กลับทำให้จิตใจนั้นสงบลงแม้ว่าเขาจะยังมิเข้าใจในความหมาย  และบ่อยครั้งที่ความหมายของอัลกุรอ่าน สร้างความเปลี่ยนแปลง ความเชื่อ ความศรัทธาของบุคคลหนึ่งได้   และเมื่อมุสลิมนั้นตั้งใจใคร่ครวญดำรัสพระผู้เป็นเจ้าของเขาก็สร้างความเปลี่ยนแปลงในชีวิตได้เช่นกัน  


      ถ้อยคำและความไพเราะของอัลกุรอ่าน จากภาษาและสำนวนโวหารที่สละสลวย อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในสังคมยุคนั้น จะสัมผัสได้ถึงความสวยงาม ความเสนาะไพเราะ ภาษาที่สวยงาม สำนวนโวหารที่สละสลวย มันจะส่งผลต่อจิตใจ เเละจิตวิญญาณของคนที่รับฟังได้ทันที จะรู้สึกมีความสบายใจ มีหัวใจที่สงบสุข สร้างความประหลาดใจ และอัศจรรย์ใจแก่ผู้ที่ได้ยิน ได้ฟัง 


       ครั้งหนึ่ง อัลวะลีด บินมุฆีเราะห์ (ซึ่งเป็นบุคคลที่ชาวอาหรับกุเรชให้เกียรติและยกย่องในความรู้มากที่สุดคนหนึ่ง) ได้รับรองอัลกุรอ่าน เมื่อครั้งที่ยังเป็นผู้ต่อต้านท่านนบีมูฮัมหมัด หลังจากที่ได้ยินอัลกุรอ่านที่ท่านนบีได้อ่าน เขาได้กลับมากล่าวต่อพวกพ้องว่า   “ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ว่าฉันได้ยินถ้อยคำที่มูฮัมหมัดได้อ่านนี้ มันไม่ใช่เป็นคำพูดจากมนุษย์หรือภูตผีที่ไหนอย่างแน่นอน .. แท้จริง มันเป็นคำพูดที่ช่างหอมหวาน สวยงาม ..ยอดของมันให้ผล (มีประโยชน์อย่างมากมาย) ..รากของมันหยั่งลึก (รากฐานที่มั่นคง) ให้ความชุ่มชื่น ..มันช่างเป็นถ้อยคำที่สูงค่าเหนือกว่าคำพูดใดๆ และแน่นอนมันมีความเหนือกว่าคำพูดอื่นๆ โดยไม่มีคำพูดอื่นใดจะมาเหนือมันได้  ..และมนุษย์หน้าไหนก็ไม่อาจกล่าวถ้อยคำแบบนี้ได้แน่”


และไม่เพียงเฉพาะผู้คนในยุคนั้น ในปัจจุบันนี้มีงานวิจัย จากนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญ ทางด้านภาษาศาสตร์และวรรณกรรม ต่างก็ยอมรับว่า อัลกุรอ่านเป็นสิ่งที่เหนือกว่าการประพันธ์ใดๆ ของมนุษย์ และไม่สามารถจะมีงานประพันธ์ใดๆลอกเลียนแบบได้


อัลกุรอ่านคือคัมภีร์ที่ถูกดำรงรักษาไว้


      คัมภีร์ที่พระองค์ทรงประทานแก่กลุ่มชนที่ผ่านมาในอดีต พวกเขาไม่สามารถที่จะดำรงรักษาไว้ได้ จึงมีการสูญหาย ถูกตัดทอนหรือเปลี่ยนแปลง  แต่กับคัมภีร์อัลกุรอ่าน พระองค์ทรงรักษามันโดยพระองค์เอง จนถึงปัจจุบันนี้ อัลกุรอ่านยังคงดำรงไว้ซึ่งความครบถ้วน สมบูรณ์แบบ โดยปราศจากการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด 


เป็นที่ทราบกันแล้วว่า อัลกุรอ่านคือ ถ้อยคำดำรัสของอัลลอฮ์ พระผู้เป็นเจ้าผู้สูงส่งยิ่ง ซึ่งได้รับการดำรงรักษาไว้ด้วยภาษาอาหรับดั้งเดิม โดยการบันทึกและการท่องจำ และจะไม่มีการแทรกด้วยภาษาอื่น นอกเสียจากว่าจะต้องมีดำรัสภาษาอาหรับที่ถูกประทานลงมานั้นกำกับเอาไว้ด้วย


     บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ ในช่วงเวลาที่อัลกุรอ่านถูกประทานลงมานั้น เมื่อท่านนบีมูฮัมหมัดอ่านโองการอัลกุรอ่าน พวกเขาจะตั้งใจฟังและจดจำ ท่องและทบทวน การอ่านใคร่ครวญด้วยพิจารณา ตรวจสอบซึ่งกันและกันเพื่อได้จดจำเหมือนกันทุกคำทุกตัวอักษร แม้กระทั่งปัจจุบันนี้บรรดามุสลิมต้องใช้บางส่วนจากบทอัลกุรอ่านในการละหมาด เพื่อสักการะต่ออัลลอฮ์ (เป็นเงื่อนไขของการละหมาด) และมีมุสลิมอีกมากมายที่สามารถท่องจำอัลกุรอ่านได้ทั้งเล่ม โดยไม่ผิดเพี้ยนแม้ตัวอักษรเดียว เป็นการรักษาลงลึกในหัวใจ ที่อยู่ในทรวงอกของบรรดาผู้ศรัทธา


     สิ่งเหล่านี้คือประจักษ์พยานจากสัญญาของพระองค์ในการปกปักรักษาอัลกุรอ่าน สมคำดำรัสของพระองค์ที่ว่า 


" แท้จริงเราได้ให้ข้อตักเตือน(อัลกุรอ่าน)นี้ลงมา และแท้จริงเราเป็นผู้รักษามันอย่างแน่นอน"  


(อัลกุรอ่าน บท อัลฮิจร์ 9)





ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า สิ่งที่มีอยู่ในอัลกุรอ่าน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของวิชาการต่างๆ ทางนำและบทบัญญัติ  เนื้อหาและข้อมูล ความรู้ความเร้นลับ  ตลอดจนสำนวนโวหารที่สละสลวย ล้วนเป็นสิ่งที่เกินกว่าความสามารถของมนุษย์ที่จะประพันธ์ขึ้นมาได้ แล้วยิ่งไปกว่านั้นคือ ท่านนบีมูฮัมหมัด (ขออัลลอฮ์ทรงประทานความสันติแด่ท่าน) เป็นผู้ที่อ่านไม่ออกเขียนไม่เป็น ไม่เคยได้รับการศึกษาในโรงเรียน ไม่เคยคลุกคลีกับวัฒนธรรมใดๆ และไม่เคยที่จะออกไปจากคาบสมุทรอาหรับเลยแม้แต่ครั้งเดียว ยิ่งเป็นการตอกย้ำให้รู้ว่าคัมภีร์นี้ไม่มีทางที่จะมาจากตัวของท่านเองอย่างแน่นอน แต่มันถูกประทานลงมาจากอัลลอฮ์ พระผู้ทรงปรีชาญาณ ผู้ทรงได้รับการสรรเสริญ


 



กระทู้ล่าสุด

ข้อความจากนักเทศน์มุส ...

ข้อความจากนักเทศน์มุสลิมถึงคริสเตียน

อานิสงส์ของการถือศีลอ ...

อานิสงส์ของการถือศีลอดหกวันชาวาล

สาส์นอันหนึ่งเดียวเท่ ...

สาส์นอันหนึ่งเดียวเท่านั้น

อิสลามกล่าวถึงอะไรเกี ...

อิสลามกล่าวถึงอะไรเกี่ยวกับการก่อการร้าย